หมดยุคนั่งจดรายรับ-รายจ่าย ด้วยแอปจัดการเงินสุดปัง

ในอดีตหากใครต้องการมีเงินเก็บ หรืออยากสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของรายได้ ค่าใช้จ่ายเพื่อไม่ต้องเกิดปัญหาหนี้สิน วิธีที่ต้องลงมือทำนั่นคือการจดรายรับ-รายจ่ายลงบนสมุดที่แบ่งตารางการรับ การใช้เงินต่าง ๆ ออกชัดเจน ซึ่งข้อเสียคือ หลายคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ไม่ได้จดไว้ทุกวัน ส่งผลให้สิ่งที่จดไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน นานเข้าก็เบื่อและเลิกทำ กลายเป็นข้อเสียที่ไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้า จะดีกว่าหรือไม่หากเปลี่ยนมาใช้ แอปจัดการเงิน สุดปังอย่าง MAKE by KBank แทน

แอปจัดการเงิน MAKE by KBank ผู้ช่วยในการทำรายรับ-รายจ่ายยุคใหม่

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้น คนรุ่นใหม่เองก็ต้องเข้าใจและสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ แม้แต่เรื่องของการทำรายรับ-รายจ่ายที่เอาเข้าจริงแม้บอกเล่ากันมาหลายสิบปีแต่คนที่ทำมีน้อยถึงน้อยมาก เหตุผลก็ตามเกริ่นเอาไว้เบื้องต้นทั้งการลืมรายละเอียดบ้าง ไม่มีเวลามานั่งจดทุกวัน ท้ายที่สุดก็เลิกทำไปโดยปริยาย ดังนั้นการนำเอาแอปจัดการเงินสุดปังอย่าง MAKE by KBank เข้ามาช่วย จะสร้างความสะดวก รวดเร็ว ง่ายดายให้กับทุกคน จบเสียทีกับยุคที่ต้องมานั่งจำ นั่งจดกันหลังขดหลังแข็งทุกวัน แถมใครกลัวลืมต้องพกสมุดติดตัวไว้ตลอด เกิดหายขึ้นมานี่คือเรื่องใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แอป MAKE by KBank เปรียบได้กับสมุดจดบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่ายของคุณมาจากจุดเริ่มต้นของการสร้างแอปที่อยากให้คนไทยมีผู้ช่วยดี ๆ ในเรื่องใช้จ่ายเงินทอง รู้ว่าแต่ละเดือนจากรายรับที่เกิดขึ้นต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ สามารถเก็บเงินได้กี่บาท นำมาซึ่งการพัฒนาเพื่อต่อยอดสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริงจนมาเป็นแอปชั้นเลิศสุดปังที่ใครก็ต้องดาวน์โหลดไว้ใช้งาน

2 ฟีเจอร์ผู้ช่วยหลักสำหรับทำรายรับ-รายจ่ายให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

เบื้องต้นเมื่อรู้จักกับ MAKE by KBank กันไปแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณควรดาวน์โหลดแล้วเริ่มใช้งานมาจาก 2 ฟีเจอร์หลักที่จะช่วยให้การทำรายรับ-รายจ่ายง่ายไปอีกขั้น ไม่ต้องพกสมุด ไม่ต้องนั่งจดให้ปวดหัว ได้แก่ Cloud Pocket และ Expense Summary ซึ่งจะขออธิบายแบบเข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้จริง ดังนี้

1. Cloud Pocket ฟีเจอร์ที่จะแยกเงินของคุณออกเป็นสัดส่วนตามกระเป๋าที่คุณต้องการแบ่งโดยไม่มีการจำกัดจำนวนใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวอย่างการทำบัญชีแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณเก็บเงินได้ผ่านฟีเจอร์นี้ คือ แบ่งเงินที่ต้องใช้จ่ายกับเงินเก็บแยกจากกันให้ชัดตามกระเป๋า แล้วอย่านำเงินแต่ละส่วนมายุ่งเกี่ยวกันเป็นอันขาด ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ง่ายขึ้น เช่น

• กระเป๋ารายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายทุกเดือน เช่น ค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าผ่อนคอนโด
• กระเป๋ารายจ่ายสำหรับจ่ายเงินรางวัลต่อเดือน เช่น ค่ากิน ค่าเดินทาง
• กระเป๋ารายจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายพิเศษอื่น ๆ เช่น ปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อน, ซื้อของให้ตนเอง, ลงทุนกับสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ
• กระเป๋าเงินเก็บระยะสั้น เช่น เก็บเงินไปเที่ยว, เก็บเงินซื้อของขวัญให้แฟน, เก็บเงินให้พ่อแม่วันเกิด
• กระเป๋าเงินเก็บระยะยาว เช่น เก็บเงินลงทุนทำธุรกิจ, เก็บเงินดาวน์บ้าน, เก็บเงินเกษียณ

จากตัวอย่างอาจเป็นเป็นภาพกว้าง ๆ ทว่าแต่ละกระเป๋าที่ระบุไว้คุณก็สามารถแยกย่อยมันออกไปให้เงินไม่ปะปนกัน เพียงเท่านี้ก็เริ่มทำรายรับ-รายจ่ายได้ทั้งที่ยังไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียวในเดือนนั้น ๆ ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ความสะดวก แต่ยังมองเห็นถึงความเหมาะสมเมื่อต้องใช้เงินจริง ลดความเสี่ยงต่อการใช้เงินเกินตัวได้เยอะมาก

2. Expense Summary อีกฟีเจอร์ที่มาคู่กันสำหรับคนใช้งานแอปจัดการเงินขั้นเทพยอดฮิตอย่าง MAKE by KBank นั่นคือ Expense Summary ซึ่งบางคนจะเรียกว่าฟีเจอร์สรุปรายจ่ายของแต่ละเดือนก็ไม่ใช่เรื่องผิดนัก เหตุเพราะมันจะทำหน้าที่สรุปค่าใช้จ่ายของคุณในแต่ละกระเป๋าในเดือนนั้นออกมาได้อย่างชัดเจนว่าใช้เงินไปกับเรื่องไหนมากที่สุด ซึ่งถ้าแบ่งออกเป็นหมวดหมู่สรุปได้ 6 ประเภท คือ

• หมวดของค่าอาหาร
• หมวดการชอปปิง
• หมวดการเดินทาง
• หมวดด้านความบันเทิง
• หมวดการชำระบิล
• อื่น ๆ

ข้อดีของการใช้ Expense Summary คือ เมื่อสรุปรายจ่ายออกมาแล้ว ทำให้เห็นทันทีว่าสิ่งใดควรปรับการใช้เงินของตนเอง สิ่งไหนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินไป ส่งผลให้เงินเก็บน้อยลง หรือบัญชีติดลบในบางจังหวะก็ปรับใหม่ทั้งหมด ที่สำคัญไม่ต้องมานั่งบวก-ลบเลขเหมือนการทำบัญชียุคเก่าให้ยุ่งยาก เพราะแอปสรุปมาให้ครบสรรพทั้งหมดแล้วนั่นเอง

จะเห็นเลยว่าเพียงแค่มีแอปจัดการเงินดี ๆ อย่าง MAKE by KBank ก็สามารถช่วยให้การทำรายรับ-รายจ่ายของคุณเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิมอีกหลายเท่ามาก บางคนมีนิสัยขี้เกียจการจดบันทึกมากขนาดไหนแต่ถ้าแบ่งเงินออกเป็นสัดส่วนแล้วจ่ายผ่านแอปนี้ทั้งหมด เมื่อถึงสิ้นเดือนฟีเจอร์ Expense Summary ก็จะสรุปรายจ่ายออกมาให้คุณ คราวนีพอเห็นตัวเลขเชื่อว่าย่อมกระตุ้นให้เกิดการวางแผนด้านการเงินมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่มีใครอยากใช้ชีวิตแบบติดลบ เป็นหนี้สิน หรือมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่เคยพออย่างแน่นอน