สแกนเพื่อดาวน์โหลด
MAKE logo
MAKE logo

รายได้เท่าไหร่ไม่ต้องยื่นภาษี? รวมมาให้แล้ว คำตอบสำหรับชาวมนุษย์เงินเดือน

# คำถามการเงินยอดฮิต

income threshold for tax exemption.png ปัญหาของมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา คือไม่แน่ใจว่า รายได้เท่าไหร่ไม่ต้องยื่นภาษี ซึ่งถ้าตอบแบบง่าย ๆเลยก็คือ หากรายได้ไม่ถึง 120,000 บาทต่อปี ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษี แต่ก็คงมีหลาย ๆ คนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องยื่นภาษีไหม ใช้เอกสารอะไรบ้าง หรือกังวลว่าอาจจ่ายภาษีมากกว่าที่ควร แต่เราขอบอกเลยว่า การยื่นภาษีไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิด และการรู้เกณฑ์รายได้ที่ต้องหรือไม่ต้องเสียภาษี ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้ดีขึ้นด้วย

ทำไมต้องรู้ว่า “รายได้เท่าไหร่ไม่ต้องยื่นภาษี”?

การรู้ว่ารายได้ของเราเข้าเกณฑ์ต้องยื่นภาษีแล้วหรือยัง ถือเป็นสิ่งที่คนมีรายได้ทุกคนจำเป็นต้องรู้ เพราะการยื่นภาษีถือเป็นหน้าที่ทางกฎหมาย และการเข้าใจเงื่อนไขการเสียภาษีหรือยื่นภาษีก็ช่วยให้เราสามารถวางแผนการจัดการเงินได้ดีด้วย

การยื่นภาษีคือความรับผิดชอบทางกฎหมาย

การยื่นภาษีคือการแสดงรายได้ต่อกรมสรรพากร ไม่ว่าจะมีรายได้มากหรือน้อย แต่ถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์แต่ไม่ยื่น อาจถูกปรับหรือเสียสิทธิ์การขอคืนภาษีในอนาคต การยื่นภาษีจึงไม่ใช่เรื่องเลือกทำ แต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย

รายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี แต่ต้องยื่นภาษี?

ผู้ที่มีรายได้รวมไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี (150,000 บาทต่อปี) ยังจำเป็นต้องยื่นภาษี หากมีรายได้รวมเกิน 120,000 บาทต่อปี (สำหรับผู้ไม่มีคู่สมรส) หรือ เกิน 220,000 บาทต่อปี (สำหรับผู้มีคู่สมรส)

แม้จะไม่ต้องชำระภาษี แต่การยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อแสดงรายได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษีนั้น ๆ และยังเป็นการช่วยรักษาสิทธิ์ เช่น การขอคืนภาษีในอนาคต ลดความเสี่ยงการถูกปรับ และสร้างประวัติการเงินที่ดี

เข้าใจเกณฑ์รายได้เพื่อไม่เสียสิทธิ์ในการยื่นภาษี

การรู้เกณฑ์รายได้ตั้งแต่ต้นช่วยให้คุณวางแผนการยื่นภาษีได้ถูกต้อง และเตรียมเอกสารลดหย่อนต่าง ๆ ครบถ้วน เช่น ประกันชีวิต กองทุน SSF/RMF หรือดอกเบี้ยบ้าน สำหรับผู้มีรายได้ต่ำ การยื่นภาษียังช่วยให้สามารถขอคืนภาษีจากภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย เช่น ฟรีแลนซ์ที่ถูกหัก 3% ช่วยให้การเงินมีระเบียบและไม่เสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว

เกณฑ์รายได้ล่าสุด: รายได้เท่าไหร่ไม่ต้องยื่นภาษี?

ในประเทศไทย การยื่นภาษีขึ้นอยู่กับ ประเภทของงานและสถานะครอบครัว ซึ่งแต่ละกลุ่มมีเกณฑ์รายได้ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจง่าย สามารถแบ่งได้ดังนี้

ใครบ้างที่ไม่ต้องยื่นภาษี

ผู้ที่มีรายได้ประจำ

ผู้ที่ทำงานประจำหรือมีรายได้จากงานอิสระ หาก รายได้ไม่ถึง 120,000 บาทต่อปี ตามกฎหมายถือว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นภาษี ตัวอย่างเช่น พนักงานบริษัทที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งปี 100,000 บาท จะไม่ต้องยื่นภาษี แต่หากรายได้เกิน 120,000 บาท ต้องยื่นภาษีตามขั้นอัตราภาษี

ผู้มีคู่สมรส

สำหรับผู้มีคู่สมรส ต้องรวมรายได้ของทั้งสองฝ่าย หากรายได้รวมไม่เกิน 220,000 บาทต่อปี จะไม่ต้องยื่นภาษี แต่ถ้ารายได้รวมเกิน สามารถให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ยื่นภาษีได้ ตัวอย่างเช่น คู่สามีภรรยาที่มีรายได้รวม 210,000 บาทต่อปี ไม่ต้องยื่น แต่หากรวมแล้ว 250,000 บาท ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยื่น

รายได้จากฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระ

สำหรับฟรีแลนซ์หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกณฑ์เริ่มยื่นภาษีที่ 60,000 บาทต่อปี หมายความว่า หากรายได้จากงานฟรีแลนซ์เกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบ ภงด.90 เพื่อแสดงรายได้และคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนด

นักศึกษาหรือคนทำงานพาร์ทไทม์

นักศึกษาหรือพนักงานพาร์ทไทม์ที่ ไม่มีรายได้ประจำ หรือมีรายได้น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ไม่จำเป็นต้องยื่นภาษี อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ไปแล้ว การยื่นแบบฟอร์มเพื่อ ขอคืนภาษี จะช่วยให้ได้เงินคืน

“รายได้น้อย” ยื่นภาษี แล้วได้ประโยชน์อะไร?

การยื่นภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมายสำหรับผู้ที่มีรายได้ แม้รายได้จะยังไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีจริงก็ตาม และแต่การยื่นภาษียังช่วยรักษาสิทธิประโยชน์ของตนได้ เช่น

  • ขอคืนภาษีจากเงินที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย เช่น ทำงานพาร์ทไทม์แล้วนายจ้างหักภาษี
  • สร้างประวัติที่ดีในการทำธุรกรรมการเงิน เช่น ขอกู้บ้าน ขอวีซ่า หรือสมัครสินเชื่อ
  • สร้างเครดิตทางการเงิน การยื่นแบบ แม้ไม่มีภาษีต้องจ่าย แสดงความรับผิดชอบและความน่าเชื่อถือทางการเงิน

ยื่นภาษี ไม่เท่ากับ ต้องจ่ายภาษี

แต่ถึงแม้รายได้ของคุณจะถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษีหรือมีภาระต้องชำระภาษีแล้ว แต่ก็ยังมีสิทธิ์ ลดหย่อนภาษี ที่อาจทำให้ไม่ต้องจ่ายภาษี หรืออาจได้เงินคืนจากกรมสรรพากรได้

1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว

ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัวเป็นสิทธิพื้นฐานที่ผู้เสียภาษีทุกคนได้รับ

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: ลดหย่อนได้ 60,000 บาทต่อปี สำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส: ลดหย่อนได้ 60,000 บาท หากคู่สมรสไม่มีรายได้
  • ค่าลดหย่อนบุตร: ลดหย่อนได้ 30,000-60,000 บาท
    • บุตรตามกฎหมายหรือบุตรบุญธรรม อายุไม่เกิน 20 ปี หรือ 20–25 ปี แต่กำลังศึกษา
    • กรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปเกิดตั้งแต่ปี 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
    • บุตรบุญธรรม ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สูงสุด 3 คน
  • ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร: ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 60,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา: อายุเกิน 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ: ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท

2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน

นอกจากค่าลดหย่อนพื้นฐานแล้ว ยังสามารถลดหย่อนภาษีจาก การออมและการลงทุน ได้ เช่น

  • เงินประกันสังคม: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 9,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์:
    • ของตนเอง ลดหย่อนได้รวมสูงสุด 100,000 บาท
    • ของคู่สมรส (ไม่มีรายได้) ลดหย่อนได้สูงสุด 10,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ: ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ สูงสุด 200,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพ:
    • ของตนเอง ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท
    • ของพ่อแม่ ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท
  • เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ สูงสุด 500,000 บาท
  • **กองทุน RMF/SSF:
    **
    • RMF ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ สูงสุด 500,000 บาท
    • SSF ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ สูงสุด 200,000 บาท
  • ลงทุนธุรกิจ Social Enterprise, Thai ESG, กบข., กอช.:
    • สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30-500,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทเงินลงทุน

3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค

  • บริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา สถานพยาบาลรัฐ: ลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนภาษี
  • บริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 10% ของเงินได้สุทธิ
  • บริจาคให้พรรคการเมือง: ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 10,000 บาท

4. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ผู้เสียภาษีสามารถ ลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ ได้

  • Easy e-Receipt: ลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท สำหรับสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์

    • สินค้าหรือบริการจากร้านจดทะเบียน VAT ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30,000 บาท
    • สินค้าจาก OTOP, วิสาหกิจชุมชน หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม ลดหย่อนได้ไม่เกิน 20,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง: ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท สำหรับจังหวัดรอง 55 จังหวัด (1 พ.ค.–30 พ.ย. 2567)

  • ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท

  • ค่าสร้างบ้านใหม่ 2567–2568: ลดหย่อนได้ 10,000 บาท ต่อค่าก่อสร้างทุกล้านบาท สูงสุด 100,000 บาท

สินค้าที่ไม่เข้าร่วมลดหย่อน:

  • สุรา เบียร์ ยาสูบ น้ำมัน ก๊าซ ยานพาหนะ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ค่าสาธารณูปโภค ค่าโทรศัพท์/อินเทอร์เน็ต เบี้ยประกันวินาศภัย

สรุปสั้น ๆ คือ การยื่นภาษี ไม่เท่ากับต้องจ่ายภาษีเสมอไป หากรู้จักใช้ สิทธิ์ลดหย่อนภาษีส่วนตัว ครอบครัว การออม การลงทุน เงินบริจาค และมาตรการรัฐ คุณอาจไม่ต้องจ่ายภาษีเลย หรืออาจได้เงินคืนจากภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย

*ข้อมูลสิทธิ์ลดหย่อน อ้างอิงจากมาตรการและข้อกำหนดของกรมสรรพากรในปีภาษี 2567 อาจมีการเปลี่ยนแปลง

เทคนิคง่าย ๆ ตรวจสอบว่าคุณ “ต้องยื่นภาษีหรือไม่”

income threshold for tax exemption-01.png

ดูหนังสือรับรองเงินเดือน (50 ทวิ)

ให้ขอหนังสือรับรองเงินเดือดจากนายจ้าง เอกสารนี้จะแสดงรายได้ทั้งปี รวมถึงภาษีที่หักไว้ ณ ที่จ่าย หากคุณรับรายได้จากหลายแห่ง ให้รวบรวมหนังสือรับรองจากทุกแห่ง สำหรับคนทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ ให้เอกสารรายได้จากผู้จ่ายแต่ละคน รวมทั้งใบเสร็จ ใบกำกับภาษี ที่จะช่วยให้คุณระบุรายได้ได้อย่างชัดเจน

เปรียบเทียบกับเกณฑ์แบบง่าย

นำรายได้สุทธิของคุณมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์เสียภาษี ตามเกณฑ์อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อ้างอิงจากปีภาษี 2567)

1. รายได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท

  • อัตราภาษี: 5%
  • ยกเว้นภาษี (ไม่ต้องเสียภาษีในช่วงนี้)

2. รายได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท

  • อัตราภาษี: 5%
  • ภาษีสูงสุดในขั้นนี้: 7,500 บาท

3. รายได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท

  • อัตราภาษี: 10%
  • ภาษีสูงสุดในขั้นนี้: 20,000 บาท

4. รายได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท

  • อัตราภาษี: 15%
  • ภาษีสูงสุดในขั้นนี้: 37,500 บาท

5. รายได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท

  • อัตราภาษี: 20%
  • ภาษีสูงสุดในขั้นนี้: 50,000 บาท

6. รายได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท

  • อัตราภาษี: 25%
  • ภาษีสูงสุดในขั้นนี้: 250,000 บาท

7. รายได้สุทธิ 2,000,001- 5,000,000 บาท

  • อัตราภาษี: 30%
  • ภาษีสูงสุดในขั้นนี้: 900,000 บาท

MAKE by KBank แอปจัดการการเงิน ช่วยประเมินภาษีได้ง่ายขึ้น

income threshold for tax exemption-02.png ฟีเจอร์ Cloud Pocket จาก MAKE by KBank แยกเงินตามประเภท เช่น “รายได้ประจำ”, “รายได้พิเศษ”, “เงินรับมัดจำ” จะช่วยให้เห็นภาพรวมว่ารายได้แต่ละเดือนเท่าไหร่ พร้อมดูสรุปยอดการใช้จ่ายของแต่ละกระเป๋า ช่วยให้ประเมินได้ง่ายขึ้นว่าต้องยื่นภาษีหรือไม่

การรู้ว่า รายได้เท่าไหร่ไม่ต้องยื่นภาษี ช่วยให้คุณวางแผนภาษีและการเงินได้ถูกต้อง แต่ถึงแม้รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็ยังควรยื่นเพื่อรักษาสิทธิ์และสร้างประวัติการเงินที่ดี และแนะนำให้ใช้เครื่องมืออย่าง Cloud Pocket เพื่อแยกรายได้และแยกค่าใช้จ่ายในการลดหย่อนได้อย่างครบถ้วน

Banner SEO.png

กลับไปหน้าแรก

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ