

สำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุน การลงทุนใน “หุ้น” กับ “กองทุนรวม” มักจะเป็นสองทางเลือกแรกๆ ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ โดยตามหลักแล้ว การลงทุนหุ้นกับกองทุนจะมีความแตกต่างกันในด้านของการสร้างผลตอบแทนและระดับความเสี่ยง ซึ่งนักลงทุนต้องศึกษาและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
แล้วกองทุนกับหุ้นต่างกันยังไง นักลงทุนมือใหม่ควรเลือกลงทุนในกองทุน หรือ หุ้นประเภทต่างๆ ดี บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยให้เอง!
หุ้นและกองทุนรวมมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของวิธีการลงทุน การบริหารจัดการ และความเสี่ยง
หากสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ “หุ้น” จะเป็นการลงทุนที่นักลงทุนเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการตามสัดส่วนเงินที่ลงทุนไป ในขณะที่ กองทุนรวม คือ การลงทุนนักลงทุนฝากเงินเข้าไปเพื่อให้นักลงทุนมืออาชีพ หรือ ผู้จัดการกองทุนนำไปบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทน
หุ้น (Stock) คือ ตราสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการในสัดส่วนที่ร่วมลงทุนไป เมื่อเราซื้อหุ้น ก็เท่ากับว่า เราได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ๆ มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุม รวมถึงมีส่วนแบ่งในกำไรของบริษัทในรูปแบบของ “เงินปันผล” หรือ ผลตอบแทนอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทและธุรกิจแต่ละแห่ง
การลงทุนในหุ้นถือเป็นการลงทุนแบบ DIY (Do It Yourself) ที่ผู้ลงทุนต้องทำการวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกหุ้นที่ต้องการด้วยตนเองทั้งหมด โดยผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นในตลาด ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ผลประกอบการบริษัท ข่าวสารเศรษฐกิจ หรือภาวะตลาดโดยรวม
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนหุ้นจึงมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูง ก่อนลงทุนนอกจากจะพิจารณาความเสี่ยงที่รับไหวแล้ว ผู้ลงทุนยังควรศึกษาตลาดและเงื่อนไขการลงทุนอย่างรอบด้านด้วย
ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) และ เงินปันผล (Dividend)
อย่างไรก็ดี การลงทุนในหุ้นไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี แต่จะมีค่าคอมมิชชัน (Brokerage Fee) ที่เรียกเก็บโดยบริษัทหลักทรัพย์เมื่อมีการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่งค่าคอมมิชชันนี้จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทและรูปแบบการส่งคำสั่งซื้อขาย
กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การระดมเงินลงทุนเข้ามาไว้ที่กองทุน โดยกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนเข้ามาทำหน้าที่บริหารและนำไปลงทุนในสินทรัพย์ตามนโยบายของกองทุน เช่น ลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอีกที
กองทุนรวมเป็นการลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แต่ยังสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากเงินลงทุนในกองทุนนั้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในสินทรัพย์เดียว แต่ถูกแบ่งไปลงทุนในหลาย ๆ ส่วนตามที่ผู้จัดการกองทุนเลือกให้
นอกจากนี้ กองทุนรวมยังเป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนทุกระดับ มีความเสี่ยงให้เลือกหลากหลาย และสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท
อย่างไรก็ดี แม้จะมีผู้จัดการกองทุนเข้ามาช่วยบริหาร แต่กองทุนก็มีความเสี่ยงที่นอกเหนือความควบคุมของผู้จัดการกองทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตลาด การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจ และความเสี่ยงเฉพาะของบริษัทที่กองทุนไปลงทุน
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนกองทุนทุกครั้ง นักลงทุนจึงควรกำหนดเป้าหมายการลงทุน วางแผนการเงินให้รอบคอบ พร้อมศึกษาความเสี่ยงของการลงทุนให้รอบด้านด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับหุ้น กองทุนรวมสามารถสร้างผลตอบแทนได้จากการขายคืนกองทุนรวม (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend) ในกรณีที่ลงทุนในกองทุนปันผล
รายได้จากการขายคืนกองทุนรวม (Capital Gain) โดยปกติจะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของการลงทุนในกองทุนรวม นอกจากนี้ กองทุนรวมบางประเภท เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมให้แก่ผู้ลงทุนด้วยการนำเงินที่ลงทุนไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
อย่างไรก็ดี กองทุนรวมจะมีค่าใช้จ่ายหลายส่วนที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาให้ดี ได้แก่
หุ้นเป็นการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่มีพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ มีเวลาติดตามข่าวสารตลาดอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมรับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
กองทุนรวมจะเหมาะสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุน มีความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้หลากหลาย ทั้งยังสามารถเริ่มลงทุนได้ด้วยเงินหลักร้อย
นอกจากจะเข้าใจว่าหุ้นกับกองทุนต่างกันยังไงแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนก็ยังคงไม่มั่นใจว่าจะเลือกลงทุนอะไรดีระหว่างหุ้นกับกองทุน หากยังไม่มั่นใจแบบนี้ ลองมาเช็กตัวเองง่ายๆ ผ่านคำถาม 3 ข้อกัน
ลองถามตัวเองว่า "หากเงินที่ลงทุนไปมีมูลค่าลดลงจาก 10,000 บาทเหลือ 8,000 บาท ตัวเราจะรู้สึกอย่างไร" โดยหากใครมีความกังวลมาก หรือ กลัวว่าจะรับการขาดทุนไม่ได้เลย การลงทุนในกองทุนรวมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงให้เลือกหลากหลาย ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ และมีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว
เวลาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ต้องอาศัยการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ การวิเคราะห์และทำความเข้าใจคำศัพท์ทางการเงิน เช่น P/E Ratio, P/BV หรือ Dividend Yield ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
หากใครมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลาในการศึกษาการลงทุนอย่างรอบด้าน การเริ่มลงทุนในกองทุนรวมโดยเลือกจากความเสี่ยงที่รับไหวก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากกองทุนมีความเสี่ยงให้เลือกหลายระดับ ทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารจัดการกองทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในจังหวะต่างๆ ได้
ไม่ว่าจะหุ้นหรือกองทุน การเริ่มต้นลงทุนที่ดีที่สุด คือ การเริ่มต้นจากการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ ดังนั้น นอกจากจะประเมินความเสี่ยงที่รับไหวแล้ว อย่าลืมตั้งเป้าหมายการลงทุนให้ดีว่าต้องการลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อเก็บเงินก้อนสำหรับอนาคตใน 5 ปี หรือเพื่อสร้างรายได้แบบ Passive Income ในระยะยาว พร้อมวางแผนการเงินแยกเงินสำหรับลงทุนโดยเฉพาะ โดยไม่นำเงินไปปนกับเงินเก็บ หรือ เงินสำหรับเป้าหมายอื่นๆ
สำหรับคนที่กำลังวางแผนการเงินแอป MAKE by KBank เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ที่จะทำให้การจัดการเงินลงทุนง่ายขึ้น ด้วยฟีเจอร์ Cloud Pocket ที่ให้ผู้ใช้สามารถแบ่งเงินออกมาเป็นกระเป๋าย่อยได้
ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณบริหารจัดการงบการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือหากตลาดมีความผันผวนและยังไม่แน่ใจว่าจะลงทุนช่วงไหนดี ก็สามารถนำเงินมาพักไว้ใน Cloud Pocket เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมได้ง่าย ๆ เช่นกัน
ศึกษา ประเมินความเสี่ยง และวางแผนอย่างรอบคอบก่อนลงทุน เพื่อผลตอบแทนในแบบที่คุณต้องการ ดาวน์โหลดแอป MAKE by KBank ได้ที่ App Store และ Google Play Store