สแกนเพื่อดาวน์โหลด
MAKE logo
MAKE logo

นักลงทุนมือใหม่ อ่านแล้วเข้าใจใน 3 นาที! หุ้นกับกองทุนต่างกันยังไง?

# คำถามการเงินยอดฮิต

stocks and mutual funds.png

สำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุน การลงทุนใน “หุ้น” กับ “กองทุนรวม” มักจะเป็นสองทางเลือกแรกๆ ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ โดยตามหลักแล้ว การลงทุนหุ้นกับกองทุนจะมีความแตกต่างกันในด้านของการสร้างผลตอบแทนและระดับความเสี่ยง ซึ่งนักลงทุนต้องศึกษาและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

แล้วกองทุนกับหุ้นต่างกันยังไง นักลงทุนมือใหม่ควรเลือกลงทุนในกองทุน หรือ หุ้นประเภทต่างๆ ดี บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยให้เอง!

ความแตกต่างของหุ้นกับกองทุน

หุ้นและกองทุนรวมมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของวิธีการลงทุน การบริหารจัดการ และความเสี่ยง

หากสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ “หุ้น” จะเป็นการลงทุนที่นักลงทุนเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการตามสัดส่วนเงินที่ลงทุนไป ในขณะที่ กองทุนรวม คือ การลงทุนนักลงทุนฝากเงินเข้าไปเพื่อให้นักลงทุนมืออาชีพ หรือ ผู้จัดการกองทุนนำไปบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทน

หุ้นคืออะไร ใคร ๆ ก็ลงทุนได้จริงหรือเปล่า?

หุ้น (Stock) คือ ตราสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการในสัดส่วนที่ร่วมลงทุนไป เมื่อเราซื้อหุ้น ก็เท่ากับว่า เราได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ๆ มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุม รวมถึงมีส่วนแบ่งในกำไรของบริษัทในรูปแบบของ “เงินปันผล” หรือ ผลตอบแทนอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทและธุรกิจแต่ละแห่ง

การลงทุนในหุ้นถือเป็นการลงทุนแบบ DIY (Do It Yourself) ที่ผู้ลงทุนต้องทำการวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกหุ้นที่ต้องการด้วยตนเองทั้งหมด โดยผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นในตลาด ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ผลประกอบการบริษัท ข่าวสารเศรษฐกิจ หรือภาวะตลาดโดยรวม

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนหุ้นจึงมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูง ก่อนลงทุนนอกจากจะพิจารณาความเสี่ยงที่รับไหวแล้ว ผู้ลงทุนยังควรศึกษาตลาดและเงื่อนไขการลงทุนอย่างรอบด้านด้วย

หุ้นสร้างผลตอบแทนได้อย่างไร?

ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) และ เงินปันผล (Dividend)

  • สำหรับ Capital Gain เป็นกำไรที่ได้จากการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อ ตามกฎหมายไทยจะได้รับการยกเว้นภาษีในกรณีที่นักลงทุนเป็นบุคคลธรรมดาและซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET)
  • ในขณะที่ เงินปันผลที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แต่ผู้ลงทุนสามารถเลือกที่จะนำไปรวมคำนวณภาษีประจำปีเพื่อขอเครดิตภาษีเงินปันผลได้

อย่างไรก็ดี การลงทุนในหุ้นไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี แต่จะมีค่าคอมมิชชัน (Brokerage Fee) ที่เรียกเก็บโดยบริษัทหลักทรัพย์เมื่อมีการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่งค่าคอมมิชชันนี้จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทและรูปแบบการส่งคำสั่งซื้อขาย

กองทุนคืออะไร ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเริ่มลงทุนได้?

กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การระดมเงินลงทุนเข้ามาไว้ที่กองทุน โดยกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนเข้ามาทำหน้าที่บริหารและนำไปลงทุนในสินทรัพย์ตามนโยบายของกองทุน เช่น ลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอีกที

กองทุนรวมเป็นการลงทุนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แต่ยังสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากเงินลงทุนในกองทุนนั้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในสินทรัพย์เดียว แต่ถูกแบ่งไปลงทุนในหลาย ๆ ส่วนตามที่ผู้จัดการกองทุนเลือกให้

นอกจากนี้ กองทุนรวมยังเป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนทุกระดับ มีความเสี่ยงให้เลือกหลากหลาย และสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท

อย่างไรก็ดี แม้จะมีผู้จัดการกองทุนเข้ามาช่วยบริหาร แต่กองทุนก็มีความเสี่ยงที่นอกเหนือความควบคุมของผู้จัดการกองทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตลาด การเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจ และความเสี่ยงเฉพาะของบริษัทที่กองทุนไปลงทุน

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนกองทุนทุกครั้ง นักลงทุนจึงควรกำหนดเป้าหมายการลงทุน วางแผนการเงินให้รอบคอบ พร้อมศึกษาความเสี่ยงของการลงทุนให้รอบด้านด้วยเช่นกัน

กองทุนรวมสร้างผลตอบแทนอย่างไร?

เช่นเดียวกับหุ้น กองทุนรวมสามารถสร้างผลตอบแทนได้จากการขายคืนกองทุนรวม (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend) ในกรณีที่ลงทุนในกองทุนปันผล

รายได้จากการขายคืนกองทุนรวม (Capital Gain) โดยปกติจะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของการลงทุนในกองทุนรวม นอกจากนี้ กองทุนรวมบางประเภท เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมให้แก่ผู้ลงทุนด้วยการนำเงินที่ลงทุนไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

อย่างไรก็ดี กองทุนรวมจะมีค่าใช้จ่ายหลายส่วนที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาให้ดี ได้แก่

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) คือ ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บรายปีเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้ผู้จัดการกองทุน ซึ่งจะหักจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV)
  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) ที่จะเรียกเก็บตอนซื้อหน่วยลงทุน
  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee) ที่จะเรียกเก็บตอนขายคืนหน่วยลงทุน

สรุป! หุ้นกับกองทุนมีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไร?

stocks and mutual funds_01.png

ข้อดีของหุ้น

  • ผลตอบแทนสูงกว่า มีโอกาสที่จะสร้างผลกำไรได้อย่างก้าวกระโดด หากเลือกบริษัทที่มีศักยภาพและจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
  • ควบคุมเองได้ ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจซื้อ-ขายได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ ไม่ต้องรอการตัดสินใจจากคนอื่น
  • ลงทุนเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 1 หุ้น ปัจจุบันมีการกำหนดราคาขั้นต่ำในการซื้อขายหุ้นต่อหน่วย ทำให้สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก

ข้อดีของกองทุนรวม

  • ความเสี่ยงเสี่ยงน้อยกว่า มีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
  • เริ่มลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนน้อย สามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท
  • มีมืออาชีพดูแล กองทุนมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่บริหารจัดการและนำเงินไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพให้

ข้อเสียของหุ้น

  • ความเสี่ยงสูง โดยหากเลือกลงทุนผิด หรือ ตลาดเกิดความผันผวนอย่างหนัก นักลงทุนมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้สูง
  • ต้องศึกษาการลงทุนจริงจัง เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ และมีความรู้พื้นฐานค่อนข้างมาก

ข้อเสียของกองทุนรวม

  • มีค่าธรรมเนียม เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมมีค่าใช้จ่ายที่มาพร้อมกับค่าบริการของผู้จัดการกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหาร (Management Fee) และค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย นักลงทุนต้องพิจารณาในส่วนนี้ให้ดี

หุ้นกับกองทุน แต่ละตัวเหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?

หุ้นเป็นการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่มีพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ มีเวลาติดตามข่าวสารตลาดอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมรับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น

กองทุนรวมจะเหมาะสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุน มีความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้หลากหลาย ทั้งยังสามารถเริ่มลงทุนได้ด้วยเงินหลักร้อย

3 คำถามเช็กตัวเอง เลือกลงทุนหุ้นหรือกองทุนดี?

mortgage with a partner_02.png

นอกจากจะเข้าใจว่าหุ้นกับกองทุนต่างกันยังไงแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนก็ยังคงไม่มั่นใจว่าจะเลือกลงทุนอะไรดีระหว่างหุ้นกับกองทุน หากยังไม่มั่นใจแบบนี้ ลองมาเช็กตัวเองง่ายๆ ผ่านคำถาม 3 ข้อกัน

1. รับความเสี่ยงได้ระดับไหน?

ลองถามตัวเองว่า "หากเงินที่ลงทุนไปมีมูลค่าลดลงจาก 10,000 บาทเหลือ 8,000 บาท ตัวเราจะรู้สึกอย่างไร" โดยหากใครมีความกังวลมาก หรือ กลัวว่าจะรับการขาดทุนไม่ได้เลย การลงทุนในกองทุนรวมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงให้เลือกหลากหลาย ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ และมีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว

2. มีเวลาติดตามและศึกษาตลาดมากน้อยแค่ไหน?

เวลาถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ต้องอาศัยการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ การวิเคราะห์และทำความเข้าใจคำศัพท์ทางการเงิน เช่น P/E Ratio, P/BV หรือ Dividend Yield ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

หากใครมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลาในการศึกษาการลงทุนอย่างรอบด้าน การเริ่มลงทุนในกองทุนรวมโดยเลือกจากความเสี่ยงที่รับไหวก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากกองทุนมีความเสี่ยงให้เลือกหลายระดับ ทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารจัดการกองทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในจังหวะต่างๆ ได้

3. เป้าหมายและแผนการเงินตอนนี้เป็นอย่างไร?

ไม่ว่าจะหุ้นหรือกองทุน การเริ่มต้นลงทุนที่ดีที่สุด คือ การเริ่มต้นจากการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ ดังนั้น นอกจากจะประเมินความเสี่ยงที่รับไหวแล้ว อย่าลืมตั้งเป้าหมายการลงทุนให้ดีว่าต้องการลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อเก็บเงินก้อนสำหรับอนาคตใน 5 ปี หรือเพื่อสร้างรายได้แบบ Passive Income ในระยะยาว พร้อมวางแผนการเงินแยกเงินสำหรับลงทุนโดยเฉพาะ โดยไม่นำเงินไปปนกับเงินเก็บ หรือ เงินสำหรับเป้าหมายอื่นๆ

สำหรับคนที่กำลังวางแผนการเงินแอป MAKE by KBank เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ที่จะทำให้การจัดการเงินลงทุนง่ายขึ้น ด้วยฟีเจอร์ Cloud Pocket ที่ให้ผู้ใช้สามารถแบ่งเงินออกมาเป็นกระเป๋าย่อยได้

  • สร้าง Cloud Pocket เพื่อแยกเงินลงทุนออกจากค่าใช้จ่ายภายในชีวิตประจำ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของเงินที่เราถืออยู่ หรือจะเป็นการพักเงินเอาไว้เพื่อหาจังหวะนำไปลงทุนที่ถูกต้อง
  • Cloud Pocket สร้างได้ไม่จำกัด และสามารถลบ Cloud Pocket ที่ไมใช้แล้วออกไปได้และสามารถสร้างใหม่ได้ทกเมื่อ รวมไปถึงตั้งชื่อ รูป เป้าหมายของแต่ละ Cloud Pocket ได้
  • มี Chat Banking สำหรับรายการโอนเงินเข้าออก แยกตามแต่ละ Cloud Pocket ทำให้สามารถติดตามรายจ่ายของตนเองได้ อีกทั้งยังสามารถล็อกCloud Pocket เพื่อป้องกันการเผลอใช้เงินในส่วนที่เราไม่ต้องการใช้ี้ได้อีกด้วย

ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณบริหารจัดการงบการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือหากตลาดมีความผันผวนและยังไม่แน่ใจว่าจะลงทุนช่วงไหนดี ก็สามารถนำเงินมาพักไว้ใน Cloud Pocket เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมได้ง่าย ๆ เช่นกัน

ศึกษา ประเมินความเสี่ยง และวางแผนอย่างรอบคอบก่อนลงทุน เพื่อผลตอบแทนในแบบที่คุณต้องการ ดาวน์โหลดแอป MAKE by KBank ได้ที่ App Store และ Google Play Store

Banner SEO.png

กลับไปหน้าแรก

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ