สแกนเพื่อดาวน์โหลด
MAKE logo
MAKE logo

กู้ไม่ผ่าน ต้องรอกี่เดือน? รู้ก่อนยื่นใหม่ ให้ผ่านฉลุย!

# คำถามการเงินยอดฮิต

reapplying after a loan rejection.png

ถ้ายื่นกู้ไม่ผ่าน ต้องรอกี่เดือนถึงจะยื่นใหม่ได้ ? เป็นคำถามที่ได้ยินกันบ่อยมาก เพราะการยื่นซ้ำในระยะเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้โอกาสผ่านลดลง โดยส่วนใหญ่แล้วหากกู้ไม่ผ่าน เราควรรอ 3–6 เดือน ก่อนยื่นใหม่ แต่ก็ย่อมขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคารด้วย

ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความเข้าใจในเรื่องช่วงเวลาที่เหมาะสมและสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยื่นกู้ไม่ผ่าน เพื่อช่วยให้คุณเตรียมตัวและเพิ่มโอกาสการยื่นกู้ให้สำเร็จ

ทำไมถึงกู้ไม่ผ่าน ทั้งที่ไม่ติดเครดิตบูโร?

จริง ๆ แล้วการกู้ไม่ผ่านไม่ได้เกิดจากเครดิตบูโรอย่างเดียว ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธคำขอ เช่น เอกสารไม่ครบ รายได้ไม่ถึง หรือภาระหนี้สูงเกินไป

ข้อควรระวังที่อาจทำให้กู้ไม่ผ่าน

หลายคนมักมองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สำคัญมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน เช่น

  • เอกสารไม่ครบ หรือไม่ชัดเจน

เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือนที่เก่าเกินไป หนังสือรับรองเงินเดือนไม่มีตราประทับ หรือเอกสารประกอบรายได้ที่ไม่สมบูรณ์ ธนาคารต้องการความชัดเจนในการพิจารณา หากข้อมูลไม่เพียงพอ โอกาสที่จะกู้ผ่านก็ลดลง

  • เคยขอกู้หลายแห่งในเวลาใกล้กัน

เมื่อคุณยื่นขอสินเชื่อหลายที่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ระบบจะบันทึกการตรวจสอบเครดิต (Credit Inquiry) ทุกครั้ง ถึงแม้ไม่ติดเครดิตบูโร แต่การมี Credit Inquiry มากเกินไปจะทำให้ถูกประเมินว่าผู้ยื่นกู้กำลังขัดสนเงินหรือมีความเสี่ยงสูงนั่นเอง

ยื่นกู้ไม่ผ่าน เพราะรายได้ไม่ถึงเกณฑ์

รายได้ไม่ถึงเกณฑ์เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้การกู้ไม่ผ่าน แต่ละธนาคารจะมีเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 15,000-25,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทสินเชื่อที่ต้องการ

หรือการที่สถานะงานไม่มั่นคง เช่น ฟรีแลนซ์ที่ไม่มี Statement ชัดเจน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ธนาคารมองหาความมั่นคงในรายได้ หากคุณทำงานฟรีแลนซ์หรือมีรายได้ไม่แน่นอน คุณจำเป็นต้องแสดงหลักฐานรายได้ที่ชัดเจนย้อนหลังอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคาร

ยื่นกู้ไม่ผ่าน เพราะภาระหนี้หนักเกิน

  • ภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt to Income Ratio: DTI) เกิน 40–50% เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน แม้จะไม่ติดเครดิตบูโรก็ตาม ธนาคารจะคำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ของคุณ หาก DTI เกินเกณฑ์ที่กำหนด จะถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระ
  • มีประวัติรายจ่ายสูงต่อเนื่อง หรือไม่มีเงินเก็บสำรอง ก็เป็นอีกสัญญาณที่ธนาคารจะพิจารณา การใช้จ่ายเกินตัวอย่างต่อเนื่องหรือมีเงินในบัญชีน้อยเกินไป จะทำให้ธนาคารคิดว่าคุณไม่มีวินัยทางการเงินหรือมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ

วิธีคำนวณภาระหนี้ สามารถทำได้ง่าย ๆ จากสูตร

DTI (%) = (ยอดผ่อนชำระต่อเดือน​ ÷ รายได้สุทธิต่อเดือน) ×100

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 30,000 บาท และมียอดผ่อนรวม 15,000 บาท DTI ของคุณจะเท่ากับ 50% ซึ่งถือว่าสูงเกินไปสำหรับธนาคารส่วนใหญ่

ยื่นกู้ไม่ผ่าน ต้องรอกี่เดือน ถึงจะยื่นใหม่ได้?

เมื่อยื่นกู้ไม่ผ่าน ต้องรอกี่เดือน คือคำถามที่หลายคนต้องการคำตอบ เพราะการยื่นซ้ำเร็วเกินไปอาจส่งผลเสียต่อโอกาสในการได้รับอนุมัติ แต่ระยะเวลารอที่เหมาะสมก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

ยื่นกู้ไม่ผ่านครั้งแรก ต้องรอนานแค่ไหน

ระยะเวลาที่ต้องรอขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของธนาคาร แต่ละแห่งจะมีนโยบายที่แตกต่างกัน บางธนาคารอาจกำหนดให้รอ 30 วัน บางแห่งอาจต้องรอ 90 วัน ก่อนจะกู้ทุกครั้งควรจะตรวจสอบกับสถาบันการเงินโดยตรงก่อนเพื่อความแน่ใจ

ในทางปฏิบัติ ธนาคารส่วนใหญ่จะมีช่วง "Cooling Period" หรือระยะเวลาพักคอยหลังจากปฏิเสธการกู้ เพื่อป้องกันการยื่นซ้ำในระยะเวลาสั้นเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบการพิจารณา

ยื่นกู้ใหม่อีกครั้ง ควรเว้นช่วงนานแค่ไหน

reapplying after a loan rejection_01.png

แนะนำให้เว้นช่วงประมาณ 3–6 เดือน เพื่อให้มีเวลา "ฟื้นเครดิต" หรือปรับรายรับ–รายจ่าย ช่วงเวลานี้ไม่ใช่แค่การรอให้ผ่านไป แต่เป็นโอกาสสำคัญในการปรับปรุงสถานะทางการเงินของคุณ

ในช่วงเวลารอ ควรใช้โอกาสนี้จัดการหนี้ ปรับโครงสร้างรายรับ หรือลดภาระหนี้ DTI การใช้เวลานี้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับการยื่นกู้ครั้งต่อไป เพราะคุณจะมีโปรไฟล์ทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

5 วิธีเตรียมตัวยังไง ให้กู้ผ่านในรอบหน้า

reapplying after a loan rejection_02.png

1. เว้นช่วงยื่นกู้

ใช้เวลารอประมาณ 3 เดือนเพื่อรีเซ็ตสถานะและวางแผนใหม่ ช่วงเวลานี้สำคัญมากเพราะจะช่วยให้ข้อมูลการปฏิเสธก่อนหน้าไม่ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาครั้งใหม่ นอกจากนี้ยังให้เวลาคุณในการวิเคราะห์และปรับปรุงจุดอ่อนที่ทำให้กู้ไม่ผ่านครั้งก่อน

การรอให้ครบ 3 เดือนยังช่วยให้คุณมีเวลาสะสมประวัติการใช้จ่ายและการเก็บเงินที่ดีขึ้น ซึ่งธนาคารจะใช้ข้อมูลย้อนหลังประมาณ 3 เดือนในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้

2. เอกสารและ Statement

ปรับ Statement ให้มีรายรับเข้าบัญชีชัดเจน Statement ที่ดีต้องแสดงรายรับที่สม่ำเสมอ ไม่มียอดติดลบบ่อย ๆ และมีการเก็บเงินอยู่ในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ

เตรียมเอกสารครบ พร้อมจดรายการที่ขาดจากรอบก่อน การเก็บบันทึกสิ่งที่ขาดหายไปจากการยื่นครั้งก่อนจะช่วยให้คุณไม่ทำผิดพลาดซ้ำ รวมถึงการเตรียมเอกสารสำรองเพิ่มเติมที่อาจต้องใช้ ธนาคารต้องการเห็นความชัดเจนในการเงินของคุณ ดังนั้นการจัดเตรียม Statement ที่ดูดี มีรายรับเข้าสม่ำเสมอ และแสดงพฤติกรรมการใช้เงินที่มีวินัย จะเป็นการสร้างความประทับใจที่ดี

3. แสดงวัตถุประสงค์การกู้

แสดงวัตถุประสงค์การกู้ให้ชัด เช่น ซื้อบ้านอยู่เอง ไม่ใช่ลงทุน ธนาคารจะพิจารณาความเสี่ยงตามวัตถุประสงค์การใช้เงิน การกู้เพื่อซื้อบ้านอยู่เอง จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าการกู้เพื่อลงทุนหรือเก็งกำไร
การแสดงวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลจะช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าใจและประเมินความเสี่ยงได้ถูกต้อง นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าคุณมีการวางแผนการเงินที่ดี ไม่ใช่การกู้แบบฉุกเฉิน

4. เคลียร์หนี้สินที่สามารถทำได้

ปิดหนี้เล็ก ๆ เพื่อลด DTI เช่น การปิดหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มียอดคงค้างน้อย จะช่วยลดอัตราส่วน DTI ลงอย่างรวดเร็ว และ ตั้งเป้าหมายปิดหนี้หรือลดภาระหนี้ในระยะเวลาก่อนยื่นกู้ใหม่ โดยใช้เครื่องมือช่วยในการวางแผน เช่น แอป MAKE by KBank ที่มีฟีเจอร์ Cloud Pocket หรือกระเป๋าเงินย่อย ให้คุณแบ่งเงินไว้สำหรับการจ่ายหนี้ได้ง่ายขึ้น

  • สร้าง Cloud Pocket แล้วตั้งชื่อ Cloud Pocket ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่เราต้องการเก็บเงิน เช่น “ค่าผ่อนรถ” “ค่าผ่อนบ้าน” หรือ “จ่ายบัตรเครดิต”เพราะจะช่วยให้สามารถแยกเงินแต่ละก้อนออกจากกันอย่างชัดเจน
  • ใช้ฟีเจอร์ To Do List จดรายการที่สำคัญ โดยแอป MAKE by KBank จะแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาจ่าย ช่วยให้ไม่พลาดกำหนดชำระ

ฟีเจอร์ดี ๆ แบบนี้จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างเป็นระบบ การจ่ายหนี้ตรงเวลาอย่างต่อเนื่องจะช่วยปรับปรุงโปรไฟล์เครดิต นอกจากนี้ ยังสามารถขอ Statement ผ่านแอป เพื่อใช้เป็นเอกสารยื่นกู้ได้ด้วย

5. เก็บเงินสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน

การมีเงินสำรองที่เพียงพอจะทำให้ธนาคารมั่นใจในความสามารถของคุณในการจัดการเหตุการณ์ไม่คาดคิด ใช้ Cloud Pocket เก็บเงินสำรองแยกไว้ โดยสร้าง Cloud Pocket “เงินฉุกเฉิน” เพื่อเก็บเงินส่วนนี้แยกออกจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้คุณเก็บออมเงินได้สะดวกขึ้นและป่องกันการใช้เงินส่วนที่ออมโดยไม่ตั้งใจ

สรุปกู้ไม่ผ่าน ต้องรอกี่เดือน?

กู้ไม่ผ่าน ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นโอกาสให้คุณได้จัดการการเงินใหม่อีกครั้ง ส่วนใหญ่แล้วควรรอ 3–6 เดือน ก่อนยื่นใหม่ และใช้เวลานี้เคลียร์หนี้ เก็บเงิน และเตรียมเอกสารให้พร้อม หากอยากมีตัวช่วย ลองใช้ Cloud Pocket ในการแยกเงินและจัดการภาระหนี้ รับรองว่ารอบหน้ามีโอกาสกู้ผ่านง่ายขึ้นแน่นอน

Banner SEO.png

กลับไปหน้าแรก

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ