

การลงทุนร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่แค่รสชาติกาแฟหรือบรรยากาศร้านเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน ตั้งแต่งบเริ่มต้น การคุมต้นทุน ไปจนถึงการบริหารเงินหมุนเวียน เพราะเจ้าของร้านจำนวนไม่น้อยที่ต้องปิดกิจการไปในตั้งแต่ปีแรก มักเกิดจากการขาดแผนการเงินที่ดีและไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริงของธุรกิจ
สิ่งสำคัญในการลงทุนร้านกาแฟ คือ “การเตรียมตัวและการวางแผนล่วงหน้า” ตั้งแต่สำรวจความพร้อมของตัวเอง ไปจนถึงการวางกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้ร้านของคุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นคงและไม่หลงทางตั้งแต่ต้น
ก่อนจะลงทุน ควรถามตัวเองก่อนว่า พร้อมหรือยัง? ทั้งในแง่เวลาและความตั้งใจ เพราะการทำร้านกาแฟไม่ใช่งานสบาย ต้องบริหารทั้งวัตถุดิบ พนักงาน และการตลาดไปพร้อมกัน นอกจากนี้ควรศึกษาตลาดในพื้นที่ เช่น ร้านคู่แข่ง กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และช่วงเวลาคนเยอะ-คนน้อย เพื่อวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจและหาจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง
การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเป็นเหมือนเข็มทิศที่จะช่วยให้คุณวางแผนทุกอย่างได้ถูกทิศทาง เพราะร้านกาแฟแต่ละประเภทมีลักษณะธุรกิจ ต้นทุน และกลยุทธ์การตลาดที่ต่างกัน การรู้ว่าคุณอยากเปิดร้านแบบไหน จะช่วยให้คุณคำนวณงบประมาณได้แม่น และเลือกลงทุนในสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เช่น
ร้านประเภทนี้เน้น “ประสบการณ์” มากกว่าแค่กาแฟ จึงต้องลงทุนในเฟอร์นิเจอร์ พื้นที่กว้างขวาง การตกแต่งที่มีกลิ่นอายเฉพาะตัว ซึ่งหมายถึงต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า แต่ก็มีโอกาสทำกำไรจากสิ่งอื่น ๆ เช่น การให้เช่าสถานที่, การจัดอีเวนต์ เป็นต้น
จุดเด่นคือใช้พื้นที่น้อย ไม่ต้องลงทุนกับการตกแต่งมาก เหมาะสำหรับทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า ออฟฟิศ หรือโรงเรียน ใช้งบเริ่มต้นต่ำกว่าและหมุนเงินเร็ว แต่ต้องเน้นความรวดเร็วในการบริการและคุณภาพกาแฟที่คงที่
เหมาะกับคนที่อยากเริ่มเร็วและไม่อยากลองผิดลองถูก เพราะมีระบบหลังบ้านและสูตรมาตรฐานให้พร้อม แต่ต้องเตรียมเงินก้อนสำหรับค่าซื้อแฟรนไชส์ ค่าธรรมเนียมรายปี และข้อกำหนดที่ต้องทำตามแบรนด์ ซึ่งอาจจำกัดความยืดหยุ่นในการปรับสูตรหรือทำโปรโมชั่นเอง
เน้นขายผ่านแอปเดลิเวอรี เช่น Grab, LINE MAN หรือ Robinhood ไม่ต้องเช่าพื้นที่ใหญ่หรือแต่งร้านหรู แต่ต้องคำนวณค่าธรรมเนียม (GP) ที่ต้องจ่ายให้แพลตฟอร์มในทุกออร์เดอร์ และให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ การเก็บอุณหภูมิ และรีวิวจากลูกค้าเพื่อรักษาคะแนนร้าน
การวางแผนการเงินถือเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นธุรกิจร้านกาแฟ เพราะถึงแม้รสชาติกาแฟจะดีแค่ไหน แต่ถ้าบริหารเงินไม่ดี ร้านก็อาจไปไม่รอดได้ง่าย ๆ ควรเริ่มจากการคำนวณต้นทุนทั้งหมดแบบละเอียด ได้แก่
เมื่อรู้ต้นทุนทั้งหมดแล้ว ให้ ประเมินรายรับ-รายจ่ายต่อวันหรือรายเดือน เพื่อวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break-even Point) ตัวอย่างเช่น ถ้าต้นทุนเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 5,000 บาท และขายกาแฟแก้วละ 50 บาท คุณต้องขายได้อย่างน้อย 100 แก้วต่อวันถึงจะเท่าทุน หลังจากนั้นทุกแก้วจึงเริ่มสร้างกำไรจริง
การรู้ตัวเลขเหล่านี้ตั้งแต่ต้นช่วยให้คุณวางแผนได้ว่า ควรตั้งราคาขายเท่าไร จัดโปรโมชั่นอย่างไร และต้องมีกำไรต่อแก้วเท่าไร ถึงจะคุ้มกับการลงทุน
ถ้าอยากทำให้ร้านกาแฟของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การตลาดตั้งแต่เริ่มต้น
ต้องมีการสร้างจุดขายเฉพาะตัว เช่น กาแฟสไตล์โฮมเมด หรือมุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ที่ช่วยดึงดูดลูกค้า
และอย่ารอให้ร้านเปิดก่อนถึงจะเริ่มโปรโมท ควรวางแผนล่วงหน้า เช่น สร้าง Facebook หรือ Instagram เพื่อทำคอนเทนต์ โพสต์รูปกาแฟสวยๆ บรรยากาศร้าน และโปรโมชั่น เพื่อสร้างตัวตนและนำเสนอจุดเด่นของร้านในโลกออนไลน์ เพราะหลายคนตัดสินใจเข้าร้านโดยดูจากโซเชียลมีเดีย
เมื่อตัดสินใจลงทุนในร้านกาแฟแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการคำนวณต้นทุนจริงแต่ละหมวด เพื่อให้ประเมินงบประมาณที่ต้องเตรียมได้ชัดเจน และห้ามลืมค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆ ด้วย
เริ่มตั้งแต่เครื่องชงกาแฟที่เป็นหัวใจหลักของร้าน ราคามีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนขึ้นอยู่กับขนาดและแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องบดกาแฟ เครื่องปั่น โต๊ะเก้าอี้ ตู้เย็น และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ควรเตรียมงบไว้ประมาณ 50,000-200,000 บาท สำหรับร้านขนาดเล็กถึงกลาง
เช่น เมล็ดกาแฟ นมสด น้ำแข็ง น้ำเชื่อม และแก้วพลาสติก ควรเตรียมงบไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เฉลี่ยประมาณ 10,000-30,000 บาท ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับยอดขาย
หากอยู่ในย่านชุมชนหรือแหล่งออฟฟิศ ค่าเช่าอาจอยู่ที่ 10,000-50,000 บาท/เดือน ส่วนค่าแต่งร้านให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ ควรเผื่อไว้อีกประมาณ 30,000-100,000 บาท เพื่อให้ร้านดูมีเอกลักษณ์และน่านั่ง
ถ้าต้องการควบคุมต้นทุนแบบมืออาชีพตั้งแต่แรก ให้แยกค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 หมวดหลัก คือ
เมื่อเปิดร้านกาแฟแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือวางแผนการขายและกำไร เพื่อให้แน่ใจว่าท้ายเดือนจะไม่ขาดทุน รวมถึงสามารถทำกำไรและไปถึงจุดคุ้มทุนให้ได้เร็วที่สุด
ราคาขายกาแฟ หากสูงเกินไปลูกค้าก็จะไม่ซื้อ หากต่ำเกินไปเสี่ยงขาดทุน ดังนั้นเมื่อจะกำหนดราคาขาย ให้พิจารณาต้นทุนของสินค้า แล้วบวกกำไร ตัวอย่าง เช่น ต้นทุนสำหรับกาแฟหนึ่งแก้วประมาณ 20 บาท ขณะที่ขายได้ 50 บาท ก็จะได้กำไรรวม 30 บาท ต่อแก้ว แต่นี่ก็ยังไม่ใช่กำไรสุทธิ เพราะยังต้องมีการหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย
เพื่อให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ให้คำนวณจุดคุ้มทุน (Break-even Point) ตัวอย่างเช่น หากค่าเช่าร้าน 30,000 บาทต่อเดือน ค่าแรงพนักงาน 20,000 บาท ค่าน้ำไฟและสาธารณูปโภค 5,000 บาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ 55,000 บาท ต่อเดือน และกำไรต่อแก้วเป็น 30 บาท (หลังหักต้นทุนวัตถุดิบ) คุณต้องขาย 55,000 ÷ 30 = 1,834 แก้ว ต่อเดือน หรือประมาณ 62 แก้วต่อวันแบบไม่มีวันหยุด จึงจะหารายได้พอคุมค่าใช้จ่ายคงที่ เมื่อขายเกิน 1,834 แก้วต่อเดือน ถึงจะเริ่มมีกำไร
ช่วงเปิดร้านคือจังหวะสร้างการรับรู้ อาจใช้การจัดโปรโมชั่นเข้ามาช่วยเช่น “ซื้อ 1 แถม 1” หรือ “ลด 20% สำหรับลูกค้าใหม่” เพื่อให้ลูกค้ากล้าลองและบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งถึอเป็นสิ่งที่ทรงพลังสำหรับร้านกาแฟขนาดเล็ก
อย่าซื้อวัตถุดิบเกินจำเป็น ตรวจสต็อกทุกสัปดาห์ และจัดการการสั่งซื้ออย่างมีแผน เช่น ซื้อของสดรายสัปดาห์แทนการสต็อกยาว เพื่อป้องกันการเสียหายโดยเปล่าประโยชน์
การบริหารเงินที่ดีคือรากฐานของธุรกิจที่มั่นคง แม้ร้านจะขายดีแค่ไหน ถ้าบริหารเงินไม่ดี ก็อาจขาดสภาพคล่องได้ง่าย มาดูกันว่าสำหรับเจ้าของร้านกาแฟมือใหม่ ควรบริหารเงินอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
อย่ารวมรายได้ร้านกับเงินส่วนตัว เพราะจะทำให้ไม่เห็นภาพรวมทางการเงิน ควรเปิดบัญชีใหม่เฉพาะกิจการ เพื่อบันทึกรายรับ-รายจ่ายได้อย่างเป็นระบบ
เมื่อครบเดือน ควรตรวจว่าหมวดไหนเกินงบ เช่น วัตถุดิบเหลือมาก หรือยอดขายตกในบางช่วงเวลา เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ในเดือนถัดไป
เตรียมเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายหลัก เช่น ค่าของ ค่าจ้างพนักงาน และค่าเช่า เพื่อให้ร้านไม่สะดุดแม้ยอดขายยังไม่นิ่ง
วางแผนเก็บเงินลงทุนร้านกาแฟบนแอป MAKE by KBank ตัวช่วยจัดการการเงินที่ออกแบบมาสำหรับทุกไลฟ์สไตล์
การเปิดร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้วัดกันที่ความฝันหรือสูตรกาแฟอร่อยเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ “การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ” ตั้งแต่ต้นทุน การคำนวณกำไร ไปจนถึงการบริหารเงินในแต่ละวัน หากคุณเริ่มต้นด้วยระบบการเงินที่ดี ร้านของคุณก็จะเดินหน้าได้มั่นคง และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
เพราะการเงินที่ดีคือพื้นฐานของธุรกิจที่มั่นคง เริ่มต้นวันนี้กับแอป MAKE by KBank แอปจัดการการเงินครบวงจร ที่จะช่วยให้คุณบริหารร้านได้อย่างมืออาชีพ และใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นทุกวัน