

ปัญหาค่าครองชีพสูง ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเงินเดือนที่ได้มาไม่พอใช้ แม้จะพยายามควบคุมรายจ่ายแล้วก็ตาม ในบทความนี้ เราขอชวนมาดูกันว่า ค่าครองชีพมีอะไรบ้าง ผลกระทบเป็นอย่างไร และวิธีวางแผนรับมือกับสถานการณ์นี้
ค่าครองชีพ หมายถึง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่คนเราต้องจ่ายเพื่อใช้ชีวิต โดยครอบคลุมตั้งแต่ความจำเป็นพื้นฐานไปจนถึงความต้องการอื่น ๆ ที่ช่วยให้เราสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี ค่าครองชีพจึงไม่ได้หมายถึงแค่ค่าใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่รวมถึงต้นทุนในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมในสังคมด้วย
**ค่าอาหาร
**ค่าอาหารถือเป็นรายจ่ายหลักอันดับหนึ่งของหลายคน โดยเฉลี่ยแล้วอาจใช้เงินถึง 30–40% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งการทำอาหารกินเองอาจช่วยประหยัดได้ แต่ก็ยังมีต้นทุน เช่น ค่าวัตถุดิบ และค่าแก๊สหรือค่าไฟ ในขณะที่คนที่กินข้าวนอกบ้านหรือสั่งเดลิเวอรีบ่อย ๆ จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เช่น
**ค่าที่อยู่อาศัย
**เป็นภาระประจำที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน หรือค่าหอพัก ซึ่งปกติจะใช้เงินราว 25–30% ของรายได้ แต่ถ้าเลือกอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ค่าที่อยู่อาศัยอาจกินสัดส่วนมากกว่า 40% ของรายได้ทันที ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเสริม เช่น ค่าส่วนกลางของคอนโด หรือค่าดูแลบ้านรายปี
ค่าน้ำ-ค่าไฟ และสาธารณูปโภค
ค่าใช้จ่ายนี้แม้จะไม่สูงเท่าค่าเช่าบ้าน แต่ก็ขาดไม่ได้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000–5,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้อยู่อาศัยและการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ที่เปิดเกือบทั้งวัน ค่าไฟอาจพุ่งเกิน 3,000 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ที่ถือว่าเป็น “ค่าสาธารณูปโภคใหม่” ของยุคปัจจุบัน
**ค่าเดินทาง
**ค่าเดินทางแตกต่างตามรูปแบบการใช้ชีวิต คนใช้รถยนต์ส่วนตัวต้องจ่ายค่าน้ำมันเดือนละหลายพันบาท รวมถึงค่าทางด่วนและค่าซ่อมบำรุง ส่วนคนใช้ขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า บางคนเสียเดือนละ 2,000–3,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง หากมีค่าผ่อนรถรวมด้วย ภาระตรงนี้อาจสูงถึง 20–25% ของรายได้ เลยทีเดียว
ค่ารักษาพยาบาล
แม้จะไม่เกิดขึ้นทุกเดือน แต่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีเจ็บป่วยกะทันหัน ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนอาจเริ่มต้นหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น การมีประกันสุขภาพช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายประจำอีกอย่างหนึ่งที่ควรบวกรวมไว้ในค่าครองชีพด้วย
ค่าเล่าเรียน
สำหรับครอบครัวที่มีบุตรหลาน ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเป็นอีกก้อนใหญ่ ทั้งค่าเทอม ค่าอุปกรณ์การเรียน ไปจนถึงค่าเรียนพิเศษ โรงเรียนรัฐอาจใช้เงินน้อยกว่า แต่ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนหรืออินเตอร์ ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึงหลักหมื่น–หลักแสนต่อปี
บางอย่าง แม้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ “จำเป็น” แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ก็ถือเป็นค่าครองชีพเช่นกัน เช่น
หากรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่า ค่าครองชีพจริง ๆ ของแต่ละคนไม่ใช่แค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองด้วย
ค่าครองชีพสูงเกิดขึ้นเมื่อภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้คนทำงานต้องใช้เงินสัดส่วนมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการเดิม ๆ
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดค่าครองชีพสูง ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้น การขาดแคลนพลังงานและวัตถุดิบ การเติบโตของประชากรในเมืองใหญ่ทำให้ค่าเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
แต่ “ค่าจ้างขั้นต่ำ” ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ซึ่งจริง ๆ แล้วค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอัตราที่กฎหมายกำหนด ขณะที่ “ค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ (Living Wage)” เป็นจำนวนเงินที่คนทำงานต้องได้รับเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในพื้นที่นั้น ๆ หรือต้องการเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพหรือมากกว่านั่นเอง
สัญญาณที่บ่งบอกว่าค่าครองชีพสูงขึ้น เห็นได้จากราคาข้าวของที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอาหารสด เนื้อสัตว์ และของใช้ในบ้าน ค่าเช่าที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ และค่าเดินทางที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ผันแปร
สำหรับประเทศไทย จังหวัดที่มีค่าครองชีพสูงที่สุด 10 อันดับแรก (ไม่รวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล) ได้แก่
อ้างอิง: https://www.amarintv.com/spotlight/economy/70222
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า กรุงเทพและปริมณฑลอย่าง นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และอื่น ๆ ก็เป็นพื้นที่ที่ใกล้แหล่งงานและการศึกษา ทำให้ค่าครองชีพก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียว
ผลกระทบทางการเงินเป็นสิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น อาการ “สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ” เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเมื่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายรับยังเท่าเดิม การออมเงินและการลงทุนระยะยาวถูกกระทบอย่างหนัก เพราะเงินที่เหลือหลังจากจ่ายค่าใช้จ่ายประจำน้อยลง หรืออาจไม่เหลือเลย ทำให้แผนการเงินระยะยาวต้องชะลอหรือหยุดไปก่อน
หลายคนเริ่มมีภาวะหนี้สินเพิ่มขึ้น เพราะต้องพึ่งบัตรเครดิตหรือเงินกู้เพื่อให้ใช้ชีวิตผ่านไปได้ ซึ่งจะสร้างวงจรหนี้สินที่เพิ่มปัญหาทางการเงินในระยะยาว
ความเครียดทางการเงินส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างมาก เมื่อต้องกังวลเรื่องเงินตลอดเวลา อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือซึมเศร้า รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะปัญหาทางการเงินมักเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้ง หรือความตึงเครียดระหว่างสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องการใช้เงินในสิ่งที่แต่ละคนต้องการ
ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้แผนชีวิตสำคัญหลายอย่างต้องเลื่อนออกไป เช่น การแต่งงาน การมีลูก การซื้อบ้าน หรือการเกษียณ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน หลายคนเลื่อนการมีลูกออกไป เพราะกังวลว่าจะไม่มีเงินเพียงพอในการเลี้ยงดู หรือเลื่อนการซื้อบ้านเพราะไม่สามารถออมเงินสำรองหรือเงินดาวน์ได้ การวางแผนเกษียณก็เป็นไปได้ยากขึ้นเมื่อการออมเงินลดลง
ลองสังเกตดูว่าในแต่ละเดือน เราใช้เงินกับอะไรมากที่สุด บางคนอาจจ่ายหนักกับค่าเดินทาง เพราะต้องเดินทางไกลไปทำงานทุกวัน หรือบางคนอาจจ่ายเยอะกับค่าอาหาร เพราะชอบกินข้าวนอกบ้านบ่อย ๆ
การรู้ว่าเราจ่ายแพงกับเรื่องไหนบ่อย ๆ จะช่วยให้ เริ่มจัดสรรงบประมาณใหม่ได้ง่ายขึ้น และสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ เช่น หากพบว่าจ่ายค่าอาหารนอกบ้านมาก อาจลองทำข้าวกินเองบ้างในบางมื้อ หรือหากค่าเดินทางสูง อาจพิจารณาใช้ขนส่งสาธารณะแทนรถส่วนตัว
การวางแผนงบประมาณ เป็นขั้นตอนสำคัญในการรับมือกับค่าครองชีพสูง โดยแบ่งเงินออกเป็นหลายกระเป๋าย่อย ๆ อย่างชัดเจนสำหรับค่าใช้จ่ายในหมวดหมู่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าผ่อนบ้าน ค่าเดินทาง เงินออมฉุกเฉิน และค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข วิธีนี้จะทำให้การเงินของเรามีระบบ ควบคุมการจ่ายฟุ่มเฟือย และช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดีได้ด้วย
สำหรับการจัดงบ ในปัจจุบันเราก็มีตัวช่วยดี ๆ อย่าง MAKE by KBank ที่มีฟีเจอร์ Cloud Pocket ซึ่งช่วยแยกกระเป๋าเงินออกตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการในหนึ่งบัญชี และหนึ่งแอปธนาคารเดียว
คนที่สนใจสามารถเริ่มใช้ได้แบบฟรี ๆ หรือเลือกอัปเกรดฟีเจอร์กับแพ็กเกจ MAKE More และ MAKE Max
MAKE by Kbank ยังให้ดอกเบี้ยสูง 1.5%* ต่อปี สำหรับเงินฝาก 500,000 บาทแรก ช่วยให้เงินออมเติบโตและเตรียมพร้อมสำหรับค่าครองชีพที่อาจจะสูงขึ้นในอนาคต
การลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลทันที ลองสำรวจการใช้เงินในแต่ละวันว่ามีอะไรที่ซื้อแล้วไม่ได้ใช้จริงหรือไม่ หรือมีของที่มีอยู่แล้วแต่ยังไปซื้อใหม่ ซึ่งแนวทาง "no buy" หรือ "low buy" กำลังเป็นที่นิยม โดยการหยุดซื้อของในหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น หยุดซื้อเสื้อผ้าใหม่ 3 เดือน หรือลดการซื้อของออนไลน์ วิธีนี้ช่วยฝึกวินัยทางการเงินและทำให้รู้ว่าเราต้องการอะไรจริงๆ
การหารายได้เสริมเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยให้รับมือกับค่าครองชีพสูงได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ทไทม์ในเวลาว่าง การขายของออนไลน์ หรือรับงานฟรีแลนซ์ที่ใช้ทักษะที่มีอยู่
หรือการสร้าง passive income หรือรายได้แบบไม่ต้องแลกเวลาโดยตรง เป็นเป้าหมายระยะยาวที่น่าสนใจ เช่น การปล่อยเช่าทรัพย์สิน การทำคอนเทนต์ที่สร้างรายได้ หรือการขายสินค้าดิจิทัล
วิธีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มรายรับในระยะยาวและลดความกดดันทางการเงิน รวมถึงการลงทุนในตัวเองผ่านการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ก็เป็นวิธีเพิ่มรายได้ในระยะยาว เมื่อมีทักษะที่ตลาดต้องการ ก็จะมีโอกาสได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น
ค่าครองชีพสูงเป็นความท้าทายที่หลายคนต้องเผชิญ แต่ด้วยการวางแผนที่ดี การปรับเปลี่ยนนิสัยการใช้เงิน และการหารายได้เสริม ทำให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากการรู้จักรูปแบบการใช้เงินของตัวเอง วางแผนงบประมาณให้ชัดเจน และสามารถเลือกใช้แอป MAKE by KBank เพื่อช่วยให้การจัดการเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้
การเตรียมความพร้อมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันเดียว แต่หากเริ่มวันนี้และทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ และยังสามารถสร้างความมั่นคงในอนาคตได้อีกด้วย