ดอกเบี้ยเงินฝาก คืออะไร คิดยังไง? สูตรง่าย ๆ สำหรับมือใหม่

ดอกเบี้ยเงินฝาก คือ ผลตอบแทนที่ธนาคารมอบให้เมื่อเราฝากเงินไว้ในบัญชี ถือเป็น “กำไร” ของผู้ฝาก ที่ช่วยให้เงินไม่หยุดนิ่งและเพิ่มมูลค่าได้ตามเวลา ยิ่งฝากนาน ดอกเบี้ยยิ่งเพิ่มขึ้น แต่สำหรับคนที่อาจจะยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยเงินฝาก MAKE by KฺBank ขอพาไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานว่า ดอกเบี้ยเงินฝากคืออะไร รวมถึงแชร์ทริคการคำนวณง่ายๆ และแนวทางเลือกประเภทบัญชีฝาก

ดอกเบี้ยเงินฝากคืออะไร?

ดอกเบี้ยเงินฝาก คือ ผลตอบแทนที่ธนาคารมอบให้กับผู้ฝากเงิน เป็นค่าตอบแทนในการนำเงินของเรามาใช้ประโยชน์ในระบบการเงิน โดยปกติจะคำนวณเป็นรายปี เช่น 0.25% หรือ 1.5% ต่อปี แล้วจ่ายให้ตามรอบระยะเวลาที่กำหนด

เข้าใจดอกเบี้ยเงินฝากแบบไม่งง

ถ้าให้พูดอย่างง่าย ดอกเบี้ยเงินฝาก ก็เหมือนเงินที่ได้มาโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่การฝากเงินไว้เฉยๆ เท่านั้น และยิ่งเลือกบัญชีเงินฝากที่เหมาะสม พร้อมอัตราดอกเบี้ยที่สูง จะช่วยให้เงินของคุณงอกเงยมากขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลของดอกเบี้ยจะสะสมมากขึ้น

ทำไม "ดอกเบี้ยเงินฝาก เหมือนเงินนอนที่ทำงานได้"?

เพราะเมื่อคุณฝากเงินไว้ในบัญชีที่ให้ดอกเบี้ย เงินของคุณจะเริ่ม ทำงานแทนคุณ ทันที โดยธนาคารจะนำเงินไปหมุนเวียนต่อ เช่น ปล่อยสินเชื่อ และแบ่งผลตอบแทนบางส่วนกลับมาให้ผู้ฝากในรูปแบบ “ดอกเบี้ย” ดังนั้นยิ่งเลือกบัญชีที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เงินของคุณงอกเงยเร็วขึ้น

ทำไมการฝากเงินเพื่อรับดอกเบี้ยจึงดีกว่า?

เพราะถ้าปล่อยให้เงินอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ฝากธนาคาร คุณจะ “เสียโอกาส” ในการสร้างรายได้จากดอกเบี้ย แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่หากสะสมต่อเนื่องก็สามารถกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ในระยะยาว

หรือหากฝากไว้ในบัญชีที่มีดอกเบี้ยต่ำ ก็อาจเสียโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า

ตัวอย่างเช่น ถ้าฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ปกติที่มีดอกเบี้ยเพียง 0.5% ทั้งที่มีบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี คุณก็เสียโอกาสได้รับดอกเบี้ยอีก 1% ต่อปี

รู้ทันสูตรดอกเบี้ยแบบไม่ต้องเก่งเลข ฝากเงินแล้วได้เงินเพิ่มเท่าไหร่?

การเข้าใจการคำนวณดอกเบี้ย จะช่วยให้คุณรู้ว่าจะได้เงินเพิ่มเท่าไหร่ เพื่อวางแผนการออมได้อย่างชาญฉลาด และการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิด สามารถทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้

สูตรคิดดอกเบี้ย

ดอกเบี้ย = เงินต้น × อัตราดอกเบี้ย × (จำนวนวันที่ฝาก / 365)

เช่น หากคุณฝากเงิน 100,000 บาท ในบัญชีที่มีอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เป็นเวลา 90 วัน ดอกเบี้ยที่ได้รับ ≈ 369 บาทหมายความว่า หลังจาก 90 วัน คุณจะมีเงินรวม 100,369 บาท แม้จะดูไม่มากในระยะสั้น แต่ถ้าฝากต่อเนื่องเป็นปี ๆ เงินดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ใช้ตัวช่วยคำนวณ

ถ้าไม่อยากคำนวณเอง ก็สามารถใช้เครื่องมือคำนวณดอกเบี้ยออนไลน์ที่เป็นของธนาคารหรือสถาบันการเงินได้เช่นกัน หรือถ้าเก็บเงินในแอป MAKE by KBank ที่มีฟีเจอร์ที่แสดงดอกเบี้ยที่ได้รับแบบรายวันทำให้เราเห็นดอกเบี้ยที่กำลังจะได้รับ

การเติบโตของเงินจากดอกเบี้ย

เวลาและความต่อเนื่อง มีผลต่อการเติบโตของเงิน ยิ่งฝากไว้นาน ผลรวมดอกเบี้ยยิ่งสูงขึ้นแบบทวีคูณ ที่เรียกว่า ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) คือ ดอกเบี้ยที่ได้ในแต่ละงวดจะถูกนำมารวมกับเงินต้น จากนั้นจึงคิดดอกเบี้ยจากจำนวนเงินใหม่นั้น

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณฝากเงิน 100,000 บาท ที่ธนาคารให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 ต่อปี และไม่ถอนเงินออกมาเลย

• ปีที่ 1: 100,000 + (100,000 × 1.5%) = 101,500 บาท
• ปีที่ 2: 101,500 + (101,500 × 1.5%) = 103,022.50 บาท
• ปีที่ 3: 103,022 + (103,022 × 1.5%) = 104,567.84 บาท

จะเห็นว่าจำนวนดอกเบี้ยที่ได้ในปีที่สอง มากกว่าปีแรก แม้ว่าเงินต้นเท่าเดิม นี่คือพลังของดอกเบี้ยทบต้น ที่ยิ่งเก็บเงินไว้นานขึ้น เงินของคุณจะเติบโตแบบก้าวกระโดด

*คิดในกรณีที่ฝากเงินไว้ครบ 365 วัน โดยไม่ถอนเงินออก

*เป็นเพียงการคำนวนตัวเลขโดยประมาณ อัตราดอกเบี้ยอาจมีการเปลี่ยนแปลง

รู้หรือไม่? ดอกเบี้ยเงินฝากต้องเสียภาษีด้วย แบบไหนถึงเข้าเกณฑ์

ส่วนใหญ่คนมักลืมว่าดอกเบี้ยเงินฝากถือเป็น รายได้ที่ต้องเสียภาษี และต้องคำนวณเข้าไปในภาษีรายได้ประจำปีของคุณด้วยเช่นกัน

เกณฑ์ภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก

ผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยรวม เกิน 20,000 บาทต่อปี จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% จากดอกเบี้ยทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ซึ่งธนาคารจะส่งต่อให้กรมสรรพากร

ตัวอย่างเช่น หากคุณได้ดอกเบี้ยรวม 50,000 บาทต่อปี ธนาคารจะหักภาษี 15% เป็นยอด 7,500 บาท ดังนั้นคุณจะได้รับเงินเพียง 42,500 บาท

กรณีไม่ต้องเสียภาษี

หากดอกเบี้ยที่ได้รับรวมต่อปีไม่ถึง 20,000 บาท จะ “ไม่ต้องเสียภาษี” และได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวน แต่ยังคงต้องรายงานรายได้ดอกเบี้ยนี้ในการยื่นภาษีด้วยเช่นกัน

เคล็ดลับจัดการภาษีดอกเบี้ย

• แยกบัญชีที่ได้ดอกเบี้ยสูงไว้เพียงบัญชีเดียว
• กระจายเงินฝากไปหลายธนาคาร เพื่อให้แต่ละบัญชีมีดอกเบี้ยไม่เกินเกณฑ์

บัญชีออมทรัพย์ vs. เงินฝากประจำ: ดอกเท่าไร? เลือกแบบไหนดี?

บัญชีเงินฝากมีหลายประเภท แต่ที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ คือ บัญชีออมทรัพย์ และ บัญชีเงินฝากประจำ ทั้งสองแบบมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน และตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่แตกต่างกันด้วย

บัญชีออมทรัพย์

บัญชีออมทรัพย์เป็นบัญชีที่สามารถฝาก - ถอนได้ทุกเมื่อ เหมาะกับเงินที่ใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายรายเดือน หรือเงินสำรองฉุกเฉิน โดยดอกเบี้ยจะคำนวณตามยอดเงินคงเหลือ และจ่ายเป็นงวดตามเงื่อนไขของธนาคาร

บัญชีเงินฝากประจำ

บัญชีเงินฝากประจำคือบัญชีที่ต้องฝากเงินตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนเก็บเงินอย่างต่อเนื่อง โดยจะได้รับดอกเบี้ยตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร หากถอนก่อนครบกำหนด อาจไม่ได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวนหรือได้ในอัตราที่ลดลง

เลือกบัญชีแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง

หากต้องใช้เงินหมุนเวียนเป็นประจำ บัญชีออมทรัพย์คือคำตอบ เพราะมีความยืดหยุ่นในการถอนเงินมากกว่า แต่หากมีเป้าหมายออมเงินระยะยาว เช่น ซื้อบ้าน ทุนการศึกษา หรือเกษียณอายุ บัญชีฝากประจำถือว่าตอบโจทย์มากกว่า เพราะช่วยให้วางแผนการออมได้ชัดเจน และโดยทั่วไปแล้ว บัญชีเงินฝากประจำจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ อีกทั้งยังช่วยเสริมวินัยในการออม

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเราก็มีตัวเลือกอย่าง “บัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล” ที่ให้ดอกเบี้ยมากขึ้น และยังคงความสะดวกในการฝาก-ถอนอยู่ เช่น แอป MAKE by KBank ที่ีให้อัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ต่อปี (วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท) และ 0.45% ต่อปี สำหรับส่วนที่เกิน500,000 บาทแรก และมี Cloud Pocket ที่ช่วยให้คุณแบ่งเก็บเงินเป็นกระเป๋าย่อยได้

• สามารถสร้างCloud Pocket ได้ไม่จำกัด เช่น "เงินสำรอง", "เก็บเงินซื้อกล้อง", หรือ "ออมรายเดือน"
• มีบันทึกและสรุปรายรับรายจ่าย เห็นการเคลื่อนไหวของเงินได้สะดวก
• มีฟีเจอร์ “แผ่นออมเงิน” แบ่งการเก็บเงินก้อนใหญ่ให้เป็นการออมน้อย ๆ แต่สม่ำเสมอ
• เห็นสรุปยอดและเป้าหมายในที่เดียว ช่วยให้มีระเบียบในการออมและติดตามเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายยิ่งขึ้น

เข้าใจดอกเบี้ยเงินฝาก แล้วให้เงินทำงานแทนเรา

การเข้าใจว่าดอกเบี้ยเงินฝากคืออะไร คิดยังไง และเลือกแบบไหนดี เป็นพื้นฐานสำคัญของการบริหารเงิน โดยเฉพาะถ้าคุณคือมือใหม่ในการจัดการการออมเงิน สิ่งสำคัญคือ เพียงเข้าใจหลักการและเลือกบัญชีที่เหมาะสม คุณก็สามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินได้แล้ว

ดาวน์โหลดแอป MAKE by KBank ตัวช่วยดี ๆ ในการจัดการการเงินที่ App Store และ PlayStore