เทียบบัตรต่อบัตร! บัตรเครดิต VS บัตรเดบิต อันไหนเหมาะกับเราที่สุด?

บัตรเครดิต บัตรเดบิต คือเครื่องมือการเงินที่ช่วยให้ใช้จ่ายได้สะดวกในยุคไร้เงินสด แต่แม้จะหน้าตาคล้ายกัน ก็มีระบบเบื้องหลังที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงแอป MAKE by KBank ขอพาเทียบบัตรเครดิต vs บัตรเดบิตแบบละเอียด ทั้งเรื่องการใช้งาน ข้อดี ข้อจำกัด และคำแนะนำเลือกใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

บัตรเครดิต vs บัตรเดบิต คืออะไร ต่างกันยังไง?

บัตรเครดิตและบัตรเดบิตมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บัตรเครดิตเป็นการใช้เงินวงเงินสินเชื่อระยะสั้นจากธนาคาร ในขณะที่บัตรเดบิตเป็นการดึงเงินออกจากบัญชีของคุณมาจ่ายโดยตรงแทนการใช้เงินสด

บัตรเครดิตคืออะไร? ใช้ก่อน จ่ายทีหลัง

บัตรเครดิตคือเครื่องมือทางการเงินที่ให้คุณ “ใช้เงินก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง” โดยธนาคารจะให้วงเงินเครดิตซึ่งเปรียบเสมือน “เงินกู้ระยะสั้น” ที่ต้องชำระคืนในรอบบิลภายหลัง และอาจมีการถูกคิดดอกเบี้ยหากชำระไม่ครบหรือไม่ตรงเวลา บัตรเครดิตจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนมีวินัยทางการเงิน และต้องการเพิ่มสภาพคล่อง เช่น การใช้ผ่อนสินค้า 0% สะสมแต้มจากการใช้จ่าย หรือใช้ร่วมกับโปรโมชันบางอย่าง เป็นต้น

บัตรเดบิตคืออะไร? ใช้จ่ายจากเงินในบัญชีโดยตรง

บัตรเดบิตคือบัตรที่เชื่อมกับบัญชีธนาคารของคุณโดยตรง ระบบจะ “ตัดเงินจากบัญชีทันที” ทุกครั้งที่มีการรูดหรือชำระค่าสินค้าและบริการ นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้จ่ายได้เฉพาะยอดเงินที่มีอยู่ในบัญชี เท่านั้น จึงไม่เสี่ยงเป็นหนี้เกินตัว เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมการใช้จ่าย หรือไม่อยากกังวลเรื่องดอกเบี้ยและการชำระหนี้ภายหลัง

ข้อดีและข้อจำกัดของบัตรเดบิต

ข้อดีของบัตรเดบิต

ข้อดีของบัตรเดบิตคือช่วยให้คุณ ควบคุมการใช้เงินได้ดี เพราะทุกการจ่ายเงินจะถูกหักจากบัญชีของคุณโดยตรง ไม่มีการยืมเงินจากวงเงินของธนาคาร จึงไม่ต้องกลัว “หนี้ค้างชำระ” หรือ “ดอกเบี้ยทบต้น” เหมือนบัตรเครดิต อีกทั้งยังเหมาะกับคนที่ต้องการใช้จ่ายอย่างมีวินัย ใช้เท่าที่มี ไม่เกินงบประมาณ และสามารถตรวจสอบยอดเงินที่เหลือได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปของธนาคาร

นอกจากนี้ บัตรเดบิตส่วนใหญ่ ก็สามารถใช้จ่ายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น การรูดจ่ายสินค้าหรือบริการ ,การชำระผ่านออนไลน์ รวมถึงการถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้ทันที โดยไม่ต้องพกเงินสดติดตัวมากเกินไป ลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือถูกขโมย

ข้อจำกัดของบัตรเดบิต

แม้บัตรเดบิตจะปลอดภัยและช่วยคุมงบได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น

• ไม่มีวงเงินฉุกเฉิน: หากเงินในบัญชีหมด จะไม่สามารถใช้บัตรได้ทันที ต่างจากบัตรเครดิตที่สามารถใช้ก่อนแล้วจ่ายทีหลังได้
• ไม่มีระบบสะสมคะแนนหรือโปรโมชั่นมาก: บัตรเดบิตส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิพิเศษ เช่น คะแนนสะสม, Cashback หรือส่วนลดร้านค้า ซึ่งเป็นจุดเด่นของบัตรเครดิต
• อาจไม่เหมาะกับธุรกรรมบางประเภท: เช่น การจองโรงแรมหรือเช่ารถ ที่มักต้องใช้บัตรเครดิตในการยืนยันการจอง

แต่ปัจจุบันหลายธนาคารเริ่มพัฒนาบัตรเดบิตรุ่นใหม่ที่มาพร้อม สิทธิพิเศษและระบบความปลอดภัยขั้นสูง เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้จ่ายออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น

ใครเหมาะกับบัตรเดบิตบ้าง?

บัตรเดบิตเหมาะสำหรับนักเรียน คนเริ่มทำงาน หรือผู้ที่ต้องการฝึกวินัยทางการเงิน เพราะช่วยให้คุณรู้ว่าใช้เงินไปเท่าไหร่ เหลือเงินเท่าไหร่ในบัญชีทุกครั้งที่ใช้จ่าย รวมถึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการจ่ายเงินแบบไม่ต้องพกเงินสดติดตัว

ข้อดีและข้อจำกัดของบัตรเครดิต

ข้อดีของบัตรเครดิต

บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ความ สะดวกและยืดหยุ่นสูง ช่วยให้คุณสามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้ก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลังในรอบบิลถัดไป เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำและต้องการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน นอกจากนี้ บัตรเครดิตยังมาพร้อม สิทธิประโยชน์บางอย่าง เช่น

• โปรโมชั่นผ่อน 0%
• คะแนนสะสม
• Cashback คืนเงิน
• ส่วนลดร้านค้าพันธมิตร
• ประกันการเดินทาง หรือคุ้มครองสินค้า

ข้อจำกัดของบัตรเครดิต

ข้อจำกัดหลักของบัตรเครดิตคือ ดอกเบี้ยสูงหากจ่ายไม่เต็มจำนวน โดยปกติดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 16-20% ต่อปี หากไม่วางแผนชำระเงินอย่างรอบคอบ ก็อาจกลายเป็นภาระหนี้ที่ก้อนใหญ่

อีกทั้งบัตรเครดิตยังมีความเสี่ยงต่อ “การใช้จ่ายเกินตัว” เพราะผู้ถือบัตรอาจรู้สึกว่าเป็นเงินในอนาคตที่ยังไม่ต้องจ่ายทันที จนเผลอรูดมากเกินความจำเป็น นำไปสู่การเป็นหนี้ระยะยาว

บัตรเครดิตเหมาะกับใครบ้าง?

บัตรเครดิตเหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำและสามารถควบคุมวินัยทางการเงินได้ดี เช่น ชำระเต็มทุกเดือน หรือใช้เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยไม่เสี่ยงหนี้เสีย

สรุปเปรียบเทียบบัตรเครดิต vs บัตรเดบิต

1. เงินที่ใช้

• บัตรเครดิต: ใช้วงเงินที่ธนาคารให้ยืม
• บัตรเดบิต: ใช้เงินในบัญชีของตนเอง

2. การตัดเงิน

• บัตรเครดิต: จ่ายหลังการตัดรอบบิลในแต่ละเดือน
• บัตรเดบิต: ตัดเงินทันทีจากบัญชี

3. ดอกเบี้ยที่ต้องชำระ

• บัตรเครดิต: มีดอกเบี้ย หากชำระไม่ครบตามรอบบิล
• บัตรเดบิต: ไม่มีดอกเบี้ย

4. โปรโมชั่น / แต้มสะสม

• บัตรเครดิต: มีโปรโมชั่น คะแนนสะสม หรือสิทธิประโยชน์
• บัตรเดบิต: มีน้อยหรือไม่มีเลย

5. ความเสี่ยงเป็นหนี้

• บัตรเครดิต: มี หากใช้เกินตัว
• บัตรเดบิต: ไม่มีหนี้สิน

เลือกใช้บัตรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และมีวินัยทางการเงิน

การเลือกใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตนั้นไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคน ต้องพิจารณาตามสภาพการเงิน ไลฟ์สไตล์ และวินัยของตัวเอง

ใช้เดบิตเมื่ออยากคุมงบ / ใช้เครดิตเมื่อพร้อมชำระคืน

การใช้บัตรเดบิตจะช่วยให้เห็นยอดคงเหลือจริงทุกครั้ง สามารถคุมงบประมาณได้ และใช้บัตรเครดิตจะตอบโจทย์มากกว่าในแง่ความคล่องตัวและสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า แต่ก็ต้องใช้เมื่อพร้อมชำระคืน

ควรจดรายรับ-รายจ่าย ไม่ว่าบัตรไหนก็สำคัญ

ไม่ว่าจะใช้บัตรเครดิตหรือเดบิต การจดรายรับรายจ่ายช่วยให้คุณเห็นภาพรวมทางการเงิน และวางแผนได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

จ่ายชำระให้ครบทุกรอบบิล

การจ่ายขั้นต่ำเป็นประจำมักทำให้เกิดเป็นหนี้บัตรเครดิตภายหลัง ซึ่งหลายครั้งก็เกิดจากการใช้จ่ายด้วยบัตรจนเกินตัว พอครบกำหนดก็จ่ายบิลทั้งหมดไม่ไหว หนึ่งวิธีในการรับมือก็คือ การแยกเงินไว้เพื่อจ่ายบิลบัตรตั้งแต่ต้น โดยแอปจัดการการเงิน MAKE by KBank มีฟีเจอร์ Cloud Pocket เตรียมจ่ายบัตรเครดิต ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่แยกไว้สำหรับการจ่ายบิลบัตรโดยเฉพาะ เพียงเพิ่มรายการจ่ายบัตร แล้วย้ายเงินมาไว้ใน Pocket เพื่อเตรียมจ่าย แถมยังมีแจ้งเตือนให้ไม่พลาดวันกำหนดชำระ

โดยวิธีนี้ก็จะทำให้คุณรู้ทันว่าใช้บัตรไปเท่าไร จ่ายได้ครบทุกรอบบิล และป้องกันปัญหารูดเกินตัวจนจ่ายไม่ไหวด้วย

สรุป บัตรไหนเหมาะกับคุณมากกว่ากัน?

บัตรเครดิตและบัตรเดบิตต่างก็มีข้อดีในแบบของตัวเอง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคน สิ่งสำคัญคือ “รู้จักตัวเอง” และ “วางแผนการใช้เงินให้รอบคอบ” เพื่อให้บัตรทั้งสองชนิดนี้กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่สร้างภาระในระยะยาว

สมัครบัตรเครดิตง่าย ๆ ผ่าน MAKE by KBank

นอกจากฟีเจอร์ Cloud Pocket แล้ว คุณยังสามารถเปิดบัตรเครดิตผ่านแอปได้ เพียงเข้าแอป MAKE by KBank แล้วไปที่เมนู Banking > บัตรเครดิต เพื่อสมัครได้เลย